โปรเม-เอรียา จุฑานุกาล อดีตนักกอล์ฟหมายเลข 1 ของโลก จบรอบที่ 3 ของกอล์ฟรายการเมเจอร์ KPMG Women’s PGA Championship 2019 ณ สนาม Hazeltine National Golf Club ด้วยการตามผู้นำ Hannah Green เพียงสโตรคเดียว
พูดกันตามตรง นับตั้งแต่เปิดฤดูกาล 2019 มา นี่เป็นครั้งแรกที่โปรเมได้มีโอกาสลุ้นแชมป์อย่างจริงจัง หลังจากปีที่แล้วโปรเมประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงด้วยการคว้าแชมป์ 3 รายการ (รวมทั้ง US Women’s Open) รวมทั้งกวาดรางวัลท้ายปีสำคัญๆ ของ LPGA ไปจนเรียบ อาทิ Race to CME Globe, Rolex Player of the Year Award และ Vare Trophy for Low Scoring Average ทำให้ปีนี้ฟอร์มดูเหมือนจะตกลงไปเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกของชีวิตนักกอล์ฟอาชีพที่ไม่มีใครรักษาฟอร์มสูงสุดของตนเองไว้ได้เสมอไป เพียงแค่ต้องอดทนรอเวลาที่มันจะกลับมาท็อปฟอร์ม (peak) ในจังหวะที่เหมาะสม และ Golfistathai ก็เชื่อว่ารายการเมเจอร์ที่ 3 ของปีนี่แหละที่เวลาของโปรเมในปี 2019 ได้เดินทางมาถึงแล้ว เพราะ…
1.สนาม Hazeltine เหมาะกับนักกอล์ฟตีไกล (Long Hitters)
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าโปรเมเป็นนักกอล์ฟที่มีระยะไดร์ฟเฉลี่ยสูงในอันดับต้น ๆ ของ LPGA Tour โดยสถิติที่เก็บมาส่วนใหญ่นั้นมาจากการใช้หัวไม้ 3 ในการทีออฟของเธอ แต่ในรายการนี้ ด้วยความที่สนามยาวและยาก โปรเมจึงจำเป็นต้องใช้ไดร์เวอร์ในการทีออฟ และผลลัพธ์ก็ออกมาดีเสียด้วย เมื่อเทียบกับผู้นำแล้ว ในการออกรอบสุดท้าย โปรเมน่าจะสามารถใช้ระยะไดร์ฟที่ไกลกว่าสร้างแรงกดดันในการแอพโพรชขึ้นกรีนด้วยระยะที่สั้นกว่า แต่สิ่งสำคัญเหนืออื่นใดของการเล่นวันสุดท้าย คือ พัตเตอร์ต้องคมและทำได้เมื่อต้องทำ
2.Hannah Green ยังไม่เคยเป็นแชมป์ใน LPGA Tour
แม้ว่าผู้นำอย่าง Green จะสามารถคว้าแชมป์ 3 รายการในทัวร์รอง Symetra Tour เมื่อฤดูกาลที่แล้ว แต่เธอยังไม่เคยสัมผัสถ้วยแชมป์ใน LPGA เลยแม้แต่ครั้งเดียว การเล่นเป็นผู้นำในวันสุดท้ายของการแข่งขันที่ใหญ่ขนาดนี้ ยิ่งเป็นรายการเมเจอร์แล้วย่อมต้องส่งผลต่อสภาพจิตใจของเธอไม่มากก็น้อย ยิ่งต้องเล่นรอบสุดท้ายกับแชมป์ 2 เมเจอร์ และอดีตมือหนึ่งของโลกอย่างโปรเม-เอรียา เธอต้องรักษาฟอร์มการพัตต์ที่ร้อนแรงมาตลอดสามวันให้ได้ถึงมีโอกาสคว้าแชมป์ LPGA แรกในชีวิต
3.รอบสุดท้ายจะเหมือนกับการดวลตัวต่อตัวในแมทช์เพลย์ (Match Play)
นอกจาก Green และโปรเมแล้ว นักกอล์ฟที่ไล่มาในระยะที่ใกล้ที่สุดคือ Lizette Salas และ Nelly Korda ซึ่งหากผู้นำไม่เล่นผิดพลาดจนดึง Leaderboard ตกลงมาแล้ว ทั้งสองก็ต้องออกตัวเร็วเพื่อที่จะมีโอกาสไล่ทัน ด้วยเหตุนี้ กลุ่มสุดท้ายจึงต้องขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือด แบบช็อตต่อช็อต ซึ่งโปรเมเองก็เล่นได้ดีในการแข่งขันแบบแมทช์เพลย์ เพราะด้วยชื่อชั้นและระนะไดร์ฟแล้วก็น่าจะทำให้ Green ต้องเหนื่อยอีกรอบหนึ่งหลังจากที่โดนบีบมาแล้วทั้งวันในรอบที่สาม สิ่งสำคัญของโปรเมคือการตัดสินใจเลือก Game Plan ที่เหมาะสม ในรอบที่ 3 หลุม 16 พาร์ 4 สั้น หลุมทำสกอร์ โปรเมเลือกที่จะออกเหล็ก แต่ทำได้ไม่ดีทำให้ลูกเข้าไปอยู่ในเขตอุปสรรค เสียโบกี้ไปอย่างง่ายๆ เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้วันสุดท้าย การเล่นทุกช็อตมีความสำคัญ เพราะหมายถึงการชนะหรือการกลับบ้านมือเปล่า เช่นเดียวกับ Green ที่จะผิดพลาดไม่ได้แล้วเช่นกัน
4.โปรเมมีสภาพจิตใจที่เข้มแข็งขึ้นมาก
หากจำกันได้ปีที่แล้ว โปรเมมีโอกาสขึ้นนำใน US Women’s Open ถึง 7 สโตรคเมื่อเข้าสู่เก้าหลุมสุดท้ายของรอบสุดท้าย Golfistathai ปิดไฟนอนเพราะมั่นใจว่ายังไงก็ได้เห็นโปรเมเก็บแชมป์เมเจอร์ที่ 2 ชัวร์ๆ แต่กลับต้องตื่นขึ้นมาในอีกชั่วโมงกว่าๆ เพื่อมาดูการเพลย์ออฟด้วยความงุนงง แต่กระนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นอดีตและประสบการณ์ที่สอนให้โปรเม-เอรียา เป็นนักกอล์ฟที่มีสภาพจิตใจที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นในปัจจุบัน เธอรู้จักรับมือกับความคาดหวังและความผิดหวังได้อย่างดีเยี่ยมชนิดที่ผู้ใหญ่หลายคนยังทำไม่ได้ ตลอดเวลาที่ผ่านมา โปรเมได้การปรึกษาจาก Pia Nilsson และ Lynn Marriott จาก Vision 54’ ซึ่งเป็นโค้ชจิตวิทยาที่อยู่ร่วมในความสำเร็จของเธอมาหลายต่อหลายครั้ง ทัศนคติ (attitude) เป็นสิ่งที่สำคัญมากในกีฬากอล์ฟเช่นเดียวกับชีวิตประจำวันของเรา ในหลายๆ ครั้งที่เราเห็นโปรเมยิ้มแย้มแจ่มใส เล่นกอล์ฟอย่างมีความสุข เป็นเพราะเธอกำลังใช้ทัศนคติบอกตนเองว่ากอล์ฟคือเกมที่แสนสนุกและเธอมีความสุขในการเล่นมันไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร เหมือนที่โปรเมให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวหลังจบรอบที่ 3 ว่า
“แม้ว่าหนูจะเล่นไม่ดี แต่หนูก็ยังมีครอบครัวที่ยอดเยี่ยมที่สุด มีพี่สาวที่คอยสนับสนุนห่วงใยหนูเสมอเช่นเดียวกับแม่ที่คอยอยู่ตรงนั้นเป็นกำลังใจให้หนูเสมอ เมื่อคิดถึงตรงนั้น ทุกอย่างก็มีแต่ความสุขใจ”
ชม Highlight รอบที่ 3 ของโปรเม
อ้างอิง
https://www.golfchannel.com/news/freer-life-outlook-ariya-jutanugarn-mix-claim-third-major-2019-kpmg-womens-pga-championship
